โซนดอกไม้กินได้ – TH
โซนดอกไม้กินได้

ประกอบไปด้วยพืชต่างๆดังนี้
เบญจรงค์ 5 สี
ชื่ออังกฤษ : Chinese violet; Coromandel; Ganges primrose; Philippine violet
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Asystasia gangetica
เบญจรงค์ 5 สี มีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น บุษบาริมทาง ตำลึงหวาน อ่อมแซ่บ ก็เรียก เป็นสมุนไพรที่มีสีม่วง เป็นทั้งผักและสมุนไพร สรรพคุณทางยาของเบญจรงค์ 5 สี ช่วยแก้ปวดบวม แก้ปวดตามข้อ ถ่ายพยาธิ แก้หอบหืด ลำต้นใช้รักษาโรคข้อรูมาติซึม รากของเบญจรงค์ 5 สีใช้แก้ผื่นผิวหนัง ส่วนที่นิยมนำไปใช้ที่สุดคือการใช้แก้โรคเบาหวาน เบญจรงค์เป็นไม้ล้มลุก ใบเป็นเดี่ยวรูปหัวใจออกตรงกันข้ามกัน ผิวใบด้านบนเป็นมัน ด้านล่างมีขนนุ่ม โคนมนหรือเว้า ปลายใบแหลม ออกดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ดอกย่อยลักษณะโคนเชื่อมกันเป็นหลอด ส่วนปลายแยกออกเป็น 5 กลีบ มีสีม่วง สีขาว หรือสีเหลือง อ่อมแซบชาวบ้านมักคิดว่าเป็นวัชพืช เพราะแพร่ขยายพันธุ์เร็วมาก ดอกเบจรงค์ มีหลายสี ชมพู ขาว เหลือง แต่บางชนิดในหนึ่งดอกมี 2 สี เป็นพืชตระกูลถั่ว ดอกออกเป็นช่อแบบช่อกระจะด้านเดียว ใบประดับรูปใบหอก
เฟื่องฟ้า
ชื่ออังกฤษ : Paper flower, Bougainvillea
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Bougainvillea glabra Choisy
เฟื่องฟ้า จัดอยู่ในวงศ์บานเย็น (NYCTAGINACEAE) เฟื่องฟ้า มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ดอกต่างใบ (กรุงเทพฯ), ดอกกระดาษ ดอกโคม (ภาคเหนือ), ตรุษจีน (ภาคกลาง), เย่จื่อฮวา จื่อซานฮวา (จีนกลาง) เป็นต้น เฟื่องฟ้า จัดเป็นไม้ยืนต้นประเภทพุ่มกึ่งเลื้อย มีอายุยืนหลายสิบปี สามารถเลื้อยไปได้ไกลถึง 10 เมตร ลักษณะของทรงพุ่มสามารถตัดแต่งและบังคับทิศทางการเจริญเติบโตได้ ลำต้นมีลักษณะกลมใหญ่ เนื้อแข็ง ผิวเป็นสีเทาหรือสีน้ำตาล ลำต้นเปราะและหักได้ง่าย มีหนามขึ้นตามลำต้นอยู่เหนือใบ หนามมีความยาวประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการตอนกิ่ง การปักชำกิ่ง เสียบยอด เจริญเติบโตได้ดีในดินปนทรายระบายน้ำดี ชอบความชื้นต่ำและแสงแดดแบบเต็มวัน ดอกเฟื่องฟ้า ออกดอกเป็นกระจุกตามง่ามใบและปลายกิ่ง มี 3 ดอก ดอกมีหลายสี
เล็บมือนาง
ชื่ออังกฤษ : Rangoon Creeper, Chinese honey Suckle.
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Combretum indicum
เล็บมือนาง มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า อ้อยช้าง (อุตรดิตถ์), แสมแดง (ชุมพร), เล็บนาว (สตูล), มะจีมั่ง จ๊ามัง จะมั่ง (ภาคเหนือ), นิ้วมือพระนารายณ์ (ใต้), ไท้หม่อง (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), วะดอนิ่ง อะดอนิ่ง (มะลายู-ยะลา), เล็บมือนางต้น เป็นต้น ต้นเล็บมือนาง มีถิ่นกำเนิดในเอเชียเขตร้อนทั่วไป โดยจัดเป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็งขนาดกลาง เลื้อยพาดพันไปกับต้นไม้อื่น ยาวได้ประมาณ 5-7 เมตร และอาจเลื้อยไปได้ไกลมากกว่า 10 เมตร แตกกิ่งก้านสาขาเป็นพุ่มหนาทึบ เถาอ่อนเป็นสีเขียว ตามลำต้นและเถาอ่อนมีขนสีเหลือหรือสีน้ำตาลอมเทาปกคลุมอยู่ แต่ต้นแก่ผิวจะเกลี้ยง โดยเถาแก่เปลือกลำต้นเป็นสีน้ำตาลปนแดง เปลือกค่อนข้างเรียบ หรือมีหนามเล็กน้อย ต้องหาหลักยึดหรือร้านให้ลำเถามีที่เกาะยึด ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด การตอนกิ่ง หรือเอาเง้าไปปลูกก็ได้ แต่ต้องฝักให้ลึกประมาณ 4 นิ้ว เป็นพรรณไม้กลางแจ้ง ชอบแสงแดดแบบเต็มวัน ต้องการน้ำและความชื้นปานกลาง เจริญเติบโตได้ดีในดินปนทรายหรือดินร่วนปนทรายที่ระบายน้ำดี
คัดเค้า (โยทะกา)
ชื่ออังกฤษ : Siamese randia
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Oxyceros horridus Lour.
คัดเค้า มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า จีเก๊า จีเค้า โยทะกา หนามลิดเค้า(เชียงใหม่), จีเค๊า พญาเท้าเอว (กาญจนบุรี), คัดเค้าหนาม (ชัยภูมิ), คัดเค้าเครือ (นครราชสีมา), เค็ดเค้า (ภาคเหนือ), คัดเค้า คันเค่า (ภาคเหนือ, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), คัดเค้า คัดค้าว (ภาคกลาง), เขี้ยวกระจับ (ภาคใต้, ภาคตะวันตกเฉียงใต้), จี้เค้า, หนามเล็บแมว เป็นต้น ต้นคัดเค้า เป็นพรรณไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทยและในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยจัดเป็นพรรณไม้เถาเนื้อเหนียวแข็งหรือไม้พุ่มรอเลื้อย มีความสูงประมาณ 3-6 เมตร เปลือกลำต้นเรียบและเป็นสีน้ำตาล ลักษณะของลำต้นคดและยาว มักขึ้นพาดพันเลื้อยไปตามต้นไม้และกิ่งไม้ หากไม่มีที่เลื้อยพันก็จะเป็นไม้กึ่งเลื้อยกึ่งยืนต้นคล้ายกับนมแมว ตามลำต้นมีข้อ ซึ่งจะมีใบงอกออกเป็นคู่ ๆ และจะมีหนามแหลมโค้งงองุ้มออกจากโคนใบมีลักษณะคล้ายกับเขาควายข้อละหนึ่งคู่ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของไม้ชนิดนี้ ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด ปักชำ และการตอนกิ่ง แต่จะนิยมขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด เพราะงอกได้ง่าย และต้นกล้าที่ได้จากการการเพาะเมล็ดจะมีความแข็งแรงและเจริญเติบโตได้เร็ว ต้องการน้ำไม่มากนักในการเจริญเติบโต สามารถเจริญเติบโตได้ดีทั้งในที่มีแสงแดดจัดแบบเต็มวันและแสงแดดปานกลาง และมักขึ้นทั่วไปตามธรรมชาติในป่าเบญจพรรณตามภาคต่าง ๆ หรือตามสวน หรือตามที่รกร้างว่างเปล่า หรือมักปลูกกันไว้ตามบ้านหรือตามวัดเพื่อใช้ทำเป็นยาบ้างก็มี
ชมจันทร์ หรือ ดอกพระจันทร์
ชื่ออังกฤษ : Moonflower
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ipomoea alba
มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตร้อนของทวีปอเมริกากลางและอเมริกาใต้และแพร่กระจายอย่างกว้างขวาง สามารถพบได้ทั้งในเขตอบอุ่นและเขตร้อนของอเมริกา ประเทศออสเตรเลียและในกลุ่มประเทศเขตร้อนของทวีปเอเชีย ต้นชมจันทร์มีดอกสีขาวสวยงาม บานในเวลาตอนกลางคืนและกลิ่นหอม ในต่างประเทศ เช่นในยุโรปและสหรัฐอเมริกาปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับ แต่บางพื้นที่ของประเทศไทย เช่น ภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เริ่มมีการนำดอกมารับประทานเป็นอาหารโดยใช้ดอกตูมมาผัดกับน้ำมันหอย หรือลวกจิ้มกับน้ำพริก ผลการการวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการของดอกชมจันทร์ พบว่าเป็นผักที่ไขมันต่ำมากและมีสรรพคุณเป็นยาระบายอย่างอ่อน เหมาะแก่ผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก นอกจากนี้ยังมีธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัสและยังประกอบด้วยวิตามินต่าง ๆ ได้แก่ วิตามินบี เป็นต้น
ดาวเรือง
ชื่ออังกฤษ : African marigold
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Tagetes erecta
ดาวเรือง จัดอยู่ในวงศ์ทานตะวัน (ASTERACEAE หรือ COMPOSITAE) ดาวเรือง มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ดาวเรืองใหญ่ (ทั่วไป), คำปู้จู้หลวง(ภาคเหนือ), พอทู (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), บ่วงซิ่วเก็ก (จีนแต้จิ๋ว), ว่านโซ่วจวี๋ (จีนกลาง), บ่วงลิ่วเก็ก เฉาหู่ย้ง, กิมเก็ก (จีน), ดาวเรืองอเมริกันเป็นต้น ต้นดาวเรือง เป็นพันธุ์ไม้พื้นเมืองของประเทศเม็กซิโก โดยจัดเป็นไม้ล้มลุก มีอายุได้ราว 1 ปี ลำต้นตั้งตรงมีความสูงประมาณ 60-100 เซนติเมตร แตกกิ่งก้านมากที่โคนต้น ลำต้นเป็นสีเขียวและเป็นร่อง ทั้งต้นเมื่อนำมาขยี้จะมีกลิ่นเหม็น จึงทำให้แมลงไม่ค่อยมารบกวน โดยจัดเป็นพันธุ์ไม้กลางแจ้ง ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดเป็นหลัก (แต่อาจจะใช้การปักชำได้ แต่ต้นที่ได้จะมีขนาดเล็กกว่า) เจริญเติบโตได้เร็ว ชอบดินร่วน ระบายน้ำได้ดี มีความชื้นปานกลาง และชอบแสงแดดแบบเต็มวัน ดอกดาวเรือง ออกดอกเป็นดอกเดี่ยวตามปลายยอด ดอกเป็นสีเหลืองสดหรือสีเหลืองปนส้ม กลีบดอกมีขนาดใหญ่เรียงซ้อนกันหลายชั้นเป็นวงกลม
ผักปู่ย่า
ชื่ออังกฤษ : Grandfather Vegetables
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Caesalpinia mimosoides Lamk.
ชื่ออื่น ผักปู่ย่า หนามปู่ย่า (เหนือ) ช้าเลือด (กลาง) ทะเน้าซอง (เหนือ) ผักกาดย่า (ปราจีนบุรี) ผักขะยา (นครพนม) ผักคายา (เลย) ผักปู่ย่าเป็นไม้เถา ลำต้นตั้งตรงหรือเลื้อยพันต้นไม้อื่น สูงมากกว่า 1 เมตร ลำต้นมีหนามแหลมมากมายทั้งลำต้น ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเป็นคู่ข้ามกัน ก้านใบยาว 25-40 ซม. ใบย่อยมี 10-30 คู่ และแตกออกไปอีก 10-20 คู่ กว้าง 4 มม. ก้านใบสีแดง มีหนามแหลมตามกิ่งก้านทั่วไป ดอกเป็นดอกช่อยาว 20-40 ซม. ดอกสีเหลืองดอกบานในช่วงฤดูหนาว ดอกยาว 1.2-2 ซม. กว้าง 1-1.8 ซม. ลักษณะเป็นแผ่นแบนและปลายเรียวแหลม ผลเป็นฝัก ขนาดเท่าหัวแม่มือ ภายในมีเมล็ด 2 เมล็ด ใบและช่อดอกมีกลิ่นฉุนรุนแรง คล้ายกลิ่นแมงกะแท้หรือแมงดา
พวงชมพู
ชื่ออังกฤษ : Mexican Creeper
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Antigonon leptopus
พวงชมพู มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ชมพูพวง (กรุงเทพฯ), หงอนนาก (ปัตตานี), พวงนาก (ภาคกลาง) เป็นต้น พวงชมพู มีถิ่นกำเนิดในแถบอเมริกากลาง พบมากในประเทศเม็กซิโก จัดเป็นไม้เถาเลื้อยที่มีเถาเนื้ออ่อนขนาดเล็ก แต่ตรงส่วนโคนจะแข็งแรงมาก ลำเถาเป็นสีเขียวอ่อน มีมือสำหรับยึดเกาะพันต้นไม้หรือกิ่งอื่นเพื่อการทรงตัว และสามารถเลื้อยพันสิ่งต่าง ๆ ไปได้ไกลประมาณ 40 ฟุต ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด การตอน และการปักชำกิ่ง พวงชมพูเป็นไม้กลางแจ้งที่ต้องการแสงแดดมาก ต้องการน้ำปานกลาง เจริญเติบโตได้ดีในดินแทบทุกชนิดที่มีความชื้นพอสมควร นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไปในเขตร้อน แต่ในบางประเทศพบขึ้นเป็นวัชพืช ดอกพวงชมพู ออกดอกเป็นช่อ ช่อดอกเป็นแบบช่อกระจะแยกแขนง ออกตามซอกใบ ซอกกิ่ง และที่ปลายยอด ช่อแขนงยาวประมาณ 1-5 เซนติเมตร ส่วนปลายช่อสุดจะมีสำหรับเกาะเกี่ยวสิ่งอื่น ๆ เพื่อเป็นการพยุงตัว ดอกออกเป็นกระจุกตามแขนงช่อ ดอกบางทีก็มีสีขาว บางทีก็มีสีชมพู แก่บ้างอ่อนบ้าง แต่ส่วนใหญ่ดอกจะเป็นสีชมพู
ลีลาวดี (ลั่นทม)
ชื่ออังกฤษ : Frangipani
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Plumeria spp.
ลีลาวดี หรือ ลั่นทม เป็นไม้ดอกชนิดยืนต้นที่มีถิ่นกำเนิดในอเมริกากลาง เม็กซิโก แคริบเบียน และอเมริกาใต้ ในบ้านเรามีความเชื่อมาแต่โบราณว่าไม่ควรปลูกต้นลั่นทมไว้ในบริเวณบ้าน เนื่องจากมีชื่ออัปมงคล เพราะไปพ้องกับคำว่า “ระทม” ซึ่งแปลว่า ความทุกข์ใจ เศร้าโศกนั่นเอง แต่ได้มีการเปลี่ยนมาเรียกชื่อใหม่แทนซึ่งก็คือ “ลีลาวดี” โดยเป็นชื่อพระราชทานจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งมีความหมายว่า “ดอกไม้ที่มีท่วงท่าสวยงามและอ่อนช้อย” และในปัจจุบันนี้ต้นลีลาวดีได้รับความนิยมและปลูกกันอย่างแพร่หลาย ลีลาวดี มีชื่อสามัญว่า Plumeria, Frangipani, Temple tree มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า จำปา, จงป่า (กาญจนบุรี), จำปาลาว (ภาคเหนือ), จำปาขาว (ภาคอีสาน), จำปาขอม (ภาคใต้), ไม้จีน (ยะลา), มอยอ (นราธิวาส), จำไป (เขมร) เป็นต้น
อัญชัน
ชื่ออังกฤษ : Butterfly pea, Blue pea
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Clitoria ternatea
อัญชัน จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) อัญชัน มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า แดงชัน (เชียงใหม่), เอื้องชัน (ภาคเหนือ) เป็นต้น อัญชัน เป็นพืชที่มีต้นกำเนิดในแถบอเมริกาใต้ ปลูกทั่วไปในเขตร้อน ลักษณะของดอกอัญชันจะมีสีขาว สีฟ้า สีม่วง ส่วนตรงกลางดอกจะมีสีเหลือง และรูปทรงคล้ายหอยเชลล์ มีสรรพคุณที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพราะมีสารที่ชื่อว่า “แอนโทไซยานิน” (Anthocyanin) ซึ่งมีหน้าที่ไปช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ได้ดีมากขึ้นเช่น ไปเลี้ยงบริเวณรากผม ซึ่งช่วยทำให้ผมดกดำ เงางาม หรือไปเลี้ยงบริเวณดวงตาจึงช่วยบำรุงสายตาไปด้วยในตัว หรือไปเลี้ยงบริเวณปลายนิ้วมือ ซึ่งก็จะช่วยแก้อาการเหน็บชาได้ด้วย และที่สำคัญสารนี้ยังมีความโดดเด่นที่ใครหลาย ๆ คนยังไม่ทราบ นั่นก็คือช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดเส้นเลือดอุดตันได้ และการ “กินดอกอัญชันทุกวัน…วันละหนึ่งดอก” จะช่วยป้องกันโรคเส้นเลือดสมองตีบได้อีกด้วย